by Janjira SombatpoonsiriMay 25, 2020
โดย จันจิรา สมบัติพูนศิริ
10 เมษายน 2020
เมื่อไม่นานมานี้ ปรากฏการณ์พลังประชาชนนำโดยเยาวชนเริ่มปรากฏขึ้นใหม่ในประเทศไทย แต่การประท้วงที่เพิ่งเริ่มต้นใหม่จะแปรเปลี่ยนเป็นขบวนการเคลื่อนไหวระดับประเทศได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับยุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ และวิสัยทัศน์ต่ออนาคตที่เป็นเอกภาพ แม้ว่าสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาไปทั่วโลกจะเป็นอุปสรรคใหม่ต่อขบวนการเคลื่อนไหว แต่เหล่านักศึกษาก็พยายามแสวงหาการประท้วงออนไลน์รูปแบบใหม่ๆ และรวมเอากิจกรรมด้านมนุษยธรรมเข้าไว้ในรายการกิจกรรมของพวกเขา เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชน
ช่วงเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยแตกร้าวเป็นสองเสี่ยง เกิดการแบ่งแยกทางการเมืองที่รุนแรง ตามมาด้วยระบอบอำนาจนิยม ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการระดมมวลชนระดับรากหญ้า ช่วงระหว่างปี ค.ศ. 2005 ถึง 2014 กลุ่มผู้สนับสนุนและต่อต้านชนชั้นนำสลับกันจัดตั้งการชุมนุมใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาลที่เป็นตัวแทนของขั้วตรงข้ามของตน การใช้ชุมนุมใหญ่เป็นอาวุธนี้ไม่เพียงแต่แบ่งฟากสังคมเป็นสองขั้วยิ่งกว่าก่อนเท่านั้น แต่ยังสร้างปรากฏการณ์ “เบื่อม็อบ” ระดับรวมหมู่ หลังกองทัพรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อปี 2014 สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง มีการออกกฎหมายรุนแรงหลายมาตรา เพื่อลงโทษต่อประชาชนผู้ต่อต้านระบอบเผด็จการด้วยสันติวิธีทั้งในอินเตอร์เน็ตและบนท้องถนน แม้การปราบปรามเช่นนี้ไม่นองเลือดแต่เป็นอุปสรรคขัดขวางขบวนการสันติวิธีอย่างมาก การรวมตัวในที่สาธารณะเป็นเรื่องผิดกฎหมายไปโดยปริยาย แม้แต่การกดไลค์ข้อความวิพากษ์วิจารณ์ในเฟซบุ๊กก็อาจจะนำไปสู่โทษจำคุกยาวนานถึง 35 ปี
แม้จะมีการปราบปราม แต่เยาวชนไทยที่หาญกล้าหันไปใช้มีมในโซเชียลมีเดีย ศิลปะ และดนตรีเพื่อวิพากษ์วิจารณ์ชนชั้นปกครอง บางครั้งก็จัดกิจกรรมสันติวิธีเชิงสัญลักษณ์บนท้องถนน ซึ่งในเวลานี้จำต้องหยุดไว้ชั่วคราวเนื่องจากวิกฤตเชื้อไวรัสโคโรนาแพร่ระบาดนำไปสู่การประกาศพรก. สถานการณ์ฉุกเฉินตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม ฉากล่าสุดของขบถคนรุ่นใหม่ยังคงดำเนินและขับเคลื่อนการแข็งขืนท้าทายต่อไป
กระแสประท้วงของนักศึกษาถูกจุดชนวนขึ้นเมื่อศาลรัฐธรรมนูญที่ฝักใฝ่ฟากรัฐบาลตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่ เหตุการณ์นี้สะท้อนว่าชนชั้นปกครองใช้อำนาจโดยมิชอบครั้งแล้วครั้งเล่า พูดให้ชัดเจนคือ เหล่าเยาวชนต่างคับข้องขุ่นเคืองใจกับรัฐบาลทหารและกลุ่มที่หนุนหลังมานานแล้ว ซึ่งรวมไปถึงสถาบันหลักและกลุ่มนายทุนธุรกิจขนาดยักษ์ที่ขับเคลื่อนประเทศราวกับเป็นทรัพย์ส่วนตน ผลของพฤติการณ์ดังกล่าวคือ สถาบันรัฐต่าง ๆ ไร้ประสิทธิภาพอย่างหนัก ความมั่งคั่งกระจุกอยู่กับกลุ่มชนชั้นนำที่ครองอำนาจกดขี่ และหลักนิติธรรมถูกฉีกกระชากไม่เหลือชิ้นดี ประเทศไทยแบบ “เก่า” นี้ไม่มีที่ทางให้กับอนาคตของคนรุ่นใหม่
เมื่อผลการเลือกตั้งในปี 2019 ประกาศออกมา พรรคอนาคตใหม่ซึ่งมีแนวคิดก้าวหน้ากลายเป็นตัวแทนของความหวังต่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตย และดึงดูดเสียงสนับสนุนของคนรุ่นใหม่ได้จำนวนมาก พรรคอนาคตใหม่ได้คะแนนเสียงถึง 6.3 ล้านเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งราว 53 ล้านคน ความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและแนวทางของแกนนำพรรคที่เปิดเผยตรงไปตรงมา ทำให้พรรคตกเป็นเป้าการใส่ร้ายป้ายสีจำนวนนับไม่ถ้วน รวมถึงการฟ้องร้องหลายคดี หนึ่งในคดีเหล่านั้นนำไปสู่คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ปีนี้
สำหรับชาวไทยรุ่นใหม่แล้ว การยุบพรรคอนาคตใหม่สื่อความว่าเสียงของพวกเขาถูกมองข้าม นักศึกษาที่ร่วมประท้วงรายหนึ่งกล่าวว่า บรรดาเยาวชนโกรธเกรี้ยวที่รัฐบาล “ใช้อำนาจรัฐ อำนาจตุลาการ หรือองค์กรอื่นๆ เพื่อปิดปากพวกเราและเพื่อให้พวกเขาได้สิ่งที่ต้องการ” ระหว่างวันที่ 22 กุมภาพันธ์ถึง 13 มีนาคม แรงเดือดดาลดังกล่าวผลักดันให้นักศึกษาชุมนุมประท้วงในมหาวิทยาลัยและโรงเรียนกว่า 50 แห่งทั่วประเทศ ข้อเรียกร้องหลักคือนายกรัฐมนตรีต้องออกจากตำแหน่ง และต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ลักษณะสำคัญของชุมนุมประท้วงของนักศึกษามีสามประการ ประการแรก ในแง่ของการขับเคลื่อนและการจัดประท้วง การชุมนุมเหล่านี้เป็นการประท้วงแบบเครือข่าย นักเรียนนักศึกษาในแต่ละสถาบันตั้งแฮชแท็กทวิตเตอร์เฉพาะของตัวเองสำหรับการชุมนุม โดยมาจากคำขวัญคติพจน์ของมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียน ผสมกับข้อความต่อต้านระบอบ แฮชแท็กต่างๆ หลายสิบแฮชแท็กได้กลายเป็นแคมเปญรณรงค์ที่มีจุดมุ่งหมายร่วมกัน ได้แก่ต่อต้านระบอบ ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงเอกลักษณ์ที่หลากหลายของเหล่านักเรียนนักศึกษาด้วย แต่ละสถาบันมีกลุ่มกิจกรรมของตนเอง ซึ่งประสานงานระหว่างสถาบันอย่างหลวมๆ ผ่านองค์กรร่มอย่างเครือข่ายนักศึกษา หรือสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย การประสานงานระหว่างสถาบันในลักษณะนี้ทำให้สามารถนำการขับเคลื่อนแบบกระจายตัว และใช้กลยุทธ์อย่างยืดหยุ่นได้
ประการที่สอง นักศึกษาผสานกลยุทธ์การประท้วงในโลกออนไลน์และบนท้องถนนเข้าด้วยกัน แต่ละวิทยาเขตจัดแฟลชม็อบซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมหลากหลายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ เช่น ร่วมกันร้องเพลง เต้นแอโรบิก ปราศรัยสั้นๆ กิจกรรมล้อเลียน และเปล่งข้อความร่วมกัน กิจกรรมเหล่านี้มีข้อดีคือง่ายต่อการไลฟ์สตรีม (ถ่ายทอดสดทางอินเตอร์เน็ต) และอัพโหลดเป็นคลิปวิดีโอสั้นๆ ในภายหลังได้ การไลฟ์สตรีมช่วยให้การประท้วงถูกเผยแพร่สู่สาธารณะมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นช่องทางเสริมให้ผู้คนสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ โดยไม่ต้องออกจากบ้าน อีกหนึ่งคุณสมบัติที่สะท้อนการผสานโลกออนไลน์และปฏิบัติการบนถนนไว้ด้วยกันคือ แฮชแท็กที่เหล่านักเรียนนักศึกษาใช้ในทวิตเตอร์ ปรากฏบนป้ายประท้วงไปด้วยพร้อมกัน ข้อความเหล่านี้โดยมากเป็นอักษรย่อและศัพท์สแลงเฉพาะในอินเตอร์เน็ต เพื่ออำพรางการวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มคนในชนชั้นปกครอง อักษรย่อที่เป็นที่นิยมอย่างมากคือ “ผนงรจตกม” ซึ่งย่อมาจาก “ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด"
ประการสุดท้าย กลยุทธ์แฟลชม็อบพัฒนามาจากการที่นักศึกษาต้องหาทางประท้วงภายใต้การปราบปรามของระบอบรัฐบาลทหารมาหลายปี นักศึกษาผู้จัดชุมนุมทำคู่มือ “ฮาวทูม็อบ” ซึ่งอธิบายช่องโหว่ในกฎหมายต่างๆ เพื่อหาวิธีการประท้วงขณะที่หลีกเลี่ยงคดีความได้ ตัวอย่างเช่น คู่มือชี้ว่างานเฉลิมฉลองรื่นเริง งานวิ่งมาราธอน และขบวนแห่เป็นกิจกรรมที่ถูกกฎหมาย เช่นเดียวกับกิจกรรมนักศึกษาที่อยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัย การชุมนุมแต่ละครั้งจงใจให้มีระยะเวลาที่สั้นกระชับ เพื่อไม่ให้รบกวนชีวิตประชาชน ซึ่งอาจเป็นข้ออ้างให้เจ้าหน้าที่จับกุมได้ ในทำนองเดียวกัน ป้ายประท้วงใช้ศัพท์สแลงเฉพาะกลุ่มและมีการเล่นคำที่ผู้มีอำนาจรัฐไขรหัสไม่ออก เพื่อซ่อนเร้นข้อความทางการเมืองที่ดุเดือด และหลีกเลี่ยงข้อหาหมิ่นประมาท
นักกิจกรรมนักศึกษากำลังเผชิญกับทางแพร่งที่สำคัญ หากพวกเขาจะแปรสภาพ “ม็อบ” ให้เป็นขบวนการเคลื่อนไหว พวกเขาจะต้องก้าวข้ามความท้าทายต่อไปนี้ให้ได้:
ข้อแรก การประท้วงแบบเครือข่ายโดยทั่วไปแล้วจะอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากขาดโครงสร้างจัดการที่เป็นระบบ ขบวนการเคลื่อนไหวในศตวรรษที่ 21 จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีแกนนำแบบกระจายศูนย์เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการขับเคลื่อนกำลังแนวระนาบ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีประสิทธิภาพในการนำทิศทางของกิจกรรมด้วย
ข้อสอง ขบวนการเคลื่อนไหวนี้ควรจะนำเสนอวิสัยทัศน์ต่ออนาคตที่ดึงดูดคนไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นเสาสนับสนุนค้ำจุนชนชั้นนำ ข้อนี้เป็นภารกิจที่ท้าทายอย่างยิ่งยวดในประเทศไทยที่ผู้คนแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไร้โอกาสเสียทีเดียว เนื่องจากความชอบธรรมของชนชั้นนำกำลังตกอยู่ในความสุ่มเสี่ยง เพราะไม่อาจจัดการกับวิกฤตโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขบวนการจำเป็นต้องทำงานกับกลุ่มทางการเมืองอื่น และนำเสนอแนวทางที่ดีกว่าบนหลักประชาธิปไตยและตอบสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชน
ข้อสุดท้าย นักศึกษาจะประคับประคองแรงสนับสนุนจากสาธารณะได้ อาจต้องวางแผนแแคมเปญรณรงค์ระยะยาวล่วงหน้าเพื่อหยั่งรากประชาธิปไตยในประเทศไทย แคมเปญเหล่านี้จำเป็นต้องระบุถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำ และผลกระทบของความเหลื่อมล้ำต่อชุมชนที่เปราะบางในช่วงโควิด-19 สร้างกลไกภาคประชาชนเพื่อป้องกันรัฐประหารในภายภาคหน้า กระตุ้นแรงกดดันจากสาธารณชนต่อกลไกยุติธรรมที่ไร้ความเป็นกลางทางการเมือง และส่งเสริมวัฒนธรรมประชาธิปไตยโดยปรับเปลี่ยนความเข้าใจสาธารณะเรื่องอัตลักษณ์ชาติไทย จากที่ยึดโยงกับอำนาจนิยมให้หยั่งรากในคุณค่าประชาธิปไตย
_
จันจิรา สมบัติพูนศิริ
ดร.จันจิรา สมบัติพูนศิริ เป็นนักวิจัยที่สถาบันเอเชียฯ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัย GIGA ประเทศเยอรมนี โดยงานวิจัยส่วนใหญ่เน้นเรื่องปฏิบัติการไม่ใช้ความรุนแรง ภาคประชาสังคม และประชาธิปไตยในเอเชีย ดร.จันจิรามีผลงานหนังสือ Humor and Nonviolent Struggle in Serbia (New York: Syracuse University Press, 2015)
*This blog post is also available in English.*
Dr. Janjira Sombatpoonsiri is currently a research fellow at the Institute of Asian Studies, Chulalongkorn University in Thailand, and the German Institute for Global and Area Studies. Her research focuses on civil resistance, civil society’s pushbacks against autocratization, and digital repression in Asia.
Read More