by Brian MartinMarch 23, 2022
โดย ไบรอัน มาร์ติน
21 มกราคม 2022
This blog post is also available in English here.
ในตอนแรก ผมเล่าถึงเฉดของความคลุมเครือที่ตำรวจและกำลังความมั่นคงต้องรับมือเมื่อพวกเขามาควบคุมความสงบเรียบร้อยในการประท้วง ผมอยากพูดต่อจากตอนที่แล้วในตอนนี้เพื่อให้ข้อวิเคราะห์บางประการเกี่ยวกับสิ่งที่คุณสามารถทำได้ ขั้นตอนแรกค่อนข้างง่าย นั่นคือคุณต้องหาคำตอบก่อนว่าที่จริงแล้วกำลังเกิดอะไรขึ้น
ใครคือตัวแสดงในการประท้วง
ผู้บัญชาการทหารและผู้กำกับการตำรวจบางครั้งตั้งสมมติฐานอย่างไม่ถูกต้องว่า ผู้ประท้วงกำลังปฏิบัติตามคำสั่งหรืออาจจะถูกหลอกใช้โดยผู้จ่ายเงินอยู่เบื้องหลัง อย่างไรก็ตาม ปกติแล้วไม่มีใครมีความรับผิดชอบแบบเป็นทางการในการออกคำสั่ง เพราะการมีส่วนร่วมในขบวนการเคลื่อนไหวแบบไร้ความรุนแรงทำด้วยความสมัครใจและไม่มีการจ่ายเงิน การประสานงานโดยปราศจากผู้นำแบบเป็นทางการแตกต่างอย่างมากจากวิธีการบริหารจัดการของกองกำลังแบบทางการ ทว่าขบวนการเคลื่อนไหวก็ยังคงทำงานให้เสร็จลุล่วงได้ ผู้ที่เข้าร่วมอย่างสมัครใจรับทำหน้าที่ต่างๆ เช่น การช่วยเหลือผู้ป่วยและบาดเจ็บ มอบอาหารและเครื่องนุ่งห่ม และสร้างจุดพักสำหรับช่วงพักระหว่างวัน
แม้ว่าขบวนการเคลื่อนไหวแบบไม่ใช้ความรุนแรงบางกลุ่มจะมีผู้นำที่มีชื่อเสียง (เช่น คานธีในอินเดีย และมาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนียร์ ในสหรัฐอเมริกา) แต่ขบวนการเคลื่อนไหวหลายแห่งก็นิยมโครงสร้างแบบไม่มีลำดับชั้นมากกว่า พวกเขาต้องการจัดกิจกรรมเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้โอบรับความหลากหลายให้มากที่สุด ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบหลักของขบวนการเคลื่อนไหวแบบไร้ความรุนแรงเมื่อเทียบกับขบวนการรูปแบบอื่น ตัวอย่างเช่น กลุ่มติดอาวุธ ซึ่งปกติแล้วจะกีดกันผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุ เมื่อจะตัดสินใจ ขบวนการเคลื่อนไหวแบบไม่ใช้ความรุนแรงมักใช้กระบวนการฉันทามติที่เปิดโอกาสให้ทุกคนหรือเกือบทุกคนได้ลงความเห็น
คุณควรตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่าผู้ประท้วงส่วนใหญ่อยู่ที่นั่นเพราะพวกเขาเชื่อในเป้าหมายอุดมการณ์ ไม่ใช่เพราะพวกเขาถูกสั่งมาให้กระทำการ
ผู้บังคับบัญชากำลังบอกอะไรฉันเกี่ยวกับการประท้วง และเพราะอะไรจึงบอกอย่างนั้น
ผู้นำรัฐบาลและทหารอาจกำลังดำเนินการตามวาระของตนเอง เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และไม่ใช่ผลประโยชน์ของประชาชน นอกจากนั้นผู้นำรัฐบาลและกองทัพอาจได้รับข้อมูลที่ไม่ตรงกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจริง หรือจงใจพยายามชักชวนให้คุณเข้าใจผิดเกี่ยวกับธรรมชาติของปฏิบัติการไร้ความรุนแรงและแรงจูงใจของประชาชนที่กำลังประท้วงอยู่
แล้วในความเป็นจริงกำลังเกิดอะไรขึ้น
หากคุณคิดว่าคำสั่งของคุณสมเหตุสมผลแล้วก็ไม่เป็นไร
แต่คุณควรทำอย่างไรหากคุณคิดว่าคุณถูกสั่งให้ทำอะไรบางอย่างที่ผิดกฎหมายหรือผิดหลักจริยธรรม เช่น การทำร้ายผู้ที่ออกมาประท้วงอย่างสันติ
ฉันพอจะสนับสนุนผู้ประท้วงได้หรือไม่
ถ้าคุณเห็นใจผู้ประท้วงและเป้าหมายของพวกเขาล่ะ คุณสามารถทำอะไรได้บ้าง ทางเลือกมีหลายอย่าง แต่ละอย่างมีจุดแข็งและจุดอ่อนต่างกันไป
ออกจากงานและเข้าร่วมกับขบวนการเคลื่อนไหว การกระทำเช่นนี้สูงส่งมาก แต่มันอาจทำลายความก้าวหน้าทางอาชีพของคุณ และคุณอาจตกเป็นเป้าของการโจมตี ทางเลือกนี้ปลอดภัยที่สุดเมื่อคนอื่นทำเหมือนกันหลายๆ คน
พูดคุยกับทหารคนอื่นๆ และพยายามปรับมุมมองและพฤติกรรมของพวกเขา ขณะสนทนากัน คุณอาจตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในการประท้วงและถามว่าทหารควรเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ บางสถานการณ์ คุณอาจพูดถึงมุมมองของคุณอย่างค่อนข้างเปิดเผยได้ หากมุมมองนี้มีผู้เห็นด้วยหลายคน หรือคุณอาจค่อนข้างระมัดระวังตัว เพื่อให้คุณยังฟังดูภักดี แค่เสนอความคิดเห็นบ้างเพียงเล็กน้อย ในทางเลือกนี้ คุณเป็นผู้ช่วยเหลือฝ่ายตรงข้ามอยู่ข้างใน
พฤติกรรมก็สำคัญไม่แพ้มุมมอง สิ่งที่คุณทำเมื่อปฏิบัติหน้าที่ในการประท้วงสามารถส่งผลต่อคนอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวคุณ คุณสามารถลดความตึงเครียดได้ด้วยการใจเย็นและไม่วางท่าเป็นภัยคุกคาม หากคุณพูดคุยกับผู้ประท้วงและหัวเราะการแสดงขำขันของพวกเขา คุณสามารถเป็นตัวอย่างให้กับทหารคนอื่นๆ ได้ เพียงการแสดงความเห็นแบบสบายๆ กับเพื่อนร่วมงาน เช่น “เดี๋ยวนะ ผมคิดว่าผมเห็นหมอฟันของผมอยู่ในการประท้วงด้วย อย่ายิงนะ” ก็สามารถทำให้พวกเขาทบทวนเกี่ยวกับการกระทำที่อาจเป็นพฤติกรรมโหดร้ายต่อผู้ที่ออกมาประท้วงอย่างสันติ
ให้ข้อมูลกับผู้ประท้วง ทางหนึ่งคือการหาสมาชิกในขบวนการเคลื่อนไหวที่คุณรู้จักและไว้ใจ บอกพวกเขาว่ามีอะไรกำลังเกิดขึ้นในกลุ่มทหาร เช่น ทหารถูกสั่งให้ทำอะไร พวกเขาคิดเกี่ยวกับสถานการณ์อย่างไร กำลังใจเป็นอย่างไร และกลยุทธ์ไร้ความรุนแรงใดที่อาจมีประสิทธิภาพสูงสุด คุณไม่จำเป็นต้องพูดถึงความลับในเชิงปฏิบัติการ สิ่งที่สำคัญกับผู้ประท้วงมากกว่าคือข้อมูลที่จะช่วยให้ความพยายามของพวกเขามีประสิทธิภาพขึ้น
คุณอาจพบกับพวกเขาแบบตัวต่อตัว หรือผ่านทางโทรศัพท์หรืออีเมล คุณอาจอยากปลอดภัยไว้ก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับได้ เช่น การใช้การเข้ารหัส หรือทำลายโทรศัพท์ของคุณหากมีการสอบสวน
บางครั้งอาจเป็นเรื่องยากในการหาสมาชิกของขบวนการเคลื่อนไหวที่เชื่อใจคุณ พวกเขาอาจสงสัยว่าคุณเป็นสายลับ ดังนั้นคุณจึงต้องหาวิธีการเพื่อให้คุณสามารถยืนยันความน่าเชื่อถือของคุณได้ คุณต้องตระหนักว่าผู้ประท้วงบางคนอาจไม่เห็นด้วยกับการติดต่อกับทหาร แต่อีกด้านหนึ่ง บางคนก็อาจยินดีรับฟังข้อแนะนำของคุณอย่างมาก
ถึงที่สุดแล้วคือคุณกลายเป็นผู้ปล่อยข้อมูล ข้อได้เปรียบอย่างมากของการยังคงอยู่ในกองทัพและให้ข้อมูลกับขบวนการแบบนิรนามคือ คุณยังสามารถทำเช่นนี้ต่อไปได้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป หากคุณเก่งมากๆ ในการหลีกเลี่ยงการสอดแนม คุณอาจถึงขั้นแสดงความเห็นออนไลน์แบบนิรนาม เพื่อให้คำแนะนำกับผู้ประท้วงจากมุมมองของคุณได้ด้วย อย่างไรก็ตาม นี่อาจนำไปสู่ความพยายามในการตามหาตัวคุณ การอธิบายเรื่องเหล่านี้และทางเลือกอื่นๆ สามารถเข้าอ่านได้โดยมีการเผยแพร่ออกมาเป็นหลายภาษาที่นี่
สรุปผู้ประท้วงที่ไม่ใช้ความรุนแรงพยายามบรรลุเป้าหมายอุดมการณ์ของพวกเขาโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายทางกายภาพต่อผู้อื่น
ขบวนการเคลื่อนไหวมีความเห็นไม่ลงรอยกันอยู่ภายใน ในกลุ่มผู้ประท้วง บางครั้งมีบางคนใช้ความรุนแรง แม้คนส่วนใหญ่จะไม่เห็นด้วยก็ตาม ในกรณีอื่นๆ ผู้ที่ใช้ความรุนแรงคือนักฉวยโอกาสที่ปรากฎตัวในการประท้วงเพื่อวัตถุประสงค์ของตนเอง หรือเป็นเจ้าหน้าที่สายลับที่พยายามบั่นทอนขบวนการเคลื่อนไหวอย่างจงใจ
หากคุณโจมตีผู้ที่ออกมาประท้วงอย่างสันติ คุณอาจทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวเข็มแข็งขึ้น เพราะหลายคนคิดว่ามันไม่ถูกต้องที่จะใช้ความรุนแรงต่อพลเรือน
หากคุณโจมตีผู้ที่ออกมาประท้วงอย่างสันติ คุณอาจทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวเข็มแข็งขึ้น เพราะหลายคนคิดว่ามันไม่ถูกต้องที่จะใช้ความรุนแรงต่อพลเรือน
ไบรอัน มาร์ติน
ไบรอัน มาร์ติน เป็นศาสตราจารย์กิตติคุณด้านสังคมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโวลลองกอง ออสเตรเลีย เขาวิจัยเกี่ยวกับปฏิบัติการไร้ความรุนแรงมาตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1970 โดยมีความสนใจพิเศษในด้านยุทธศาสตร์สำหรับขบวนการเคลื่อนไหวและกลยุทธ์เพื่อต่อสู้กับความอยุติธรรม เขาเป็นผู้เขียนหนังสือกว่า 21 เล่ม และบทความกว่า 200 ชิ้นในหัวข้อเกี่ยวกับการไม่ใช้ความรุนแรง ความขัดแย้งทางความคิด (dissent) ข้อถกเถียงในวงการวิทยาศาสตร์ ประชาธิปไตย การศึกษา และหัวข้ออื่นๆ
Brian Martin is Emeritus Professor of Social Sciences at the University of Wollongong, Australia. He has been researching nonviolent action since the late 1970s, with a special interest in strategies for social movements and tactics against injustice. He is the author of 21 books and over 200 articles on nonviolence, dissent, scientific controversies, democracy, education and other topics.
Read More